รวมสูตรอาหารคาวหวานและเกร็ดความรู้

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

สูตรและวิธีการทำขนมเทียนแก้ว

 
 
ส่วนผสม

1.       ถั่วทองนึ่งสุกบดละเอียด                 250 กรัม
       2.       เกลือ                                            1/2 ช้อนชา
       3.       น้ำตาลทราย (สำหรับกวนถั่ว)         250 กรัม
       4.       กะทิ (สำหรับกวนถั่ว)                     250 กรัม
       5.       แป้งถั่วเขียว                                  500 กรัม
       6.       กะทิ (สำหรับกวนตัวแป้ง)              250 กรัม
       7.       น้ำตาลทราย (สำหรับกวนแป้ง)      100 กรัม
       8.       ใบตองสำหรับห่อ หรือทำกระทง

วิธีทำ
       

        1.    นำถั่วทองสุกบด ผสมกับน้ำตาลทราย, กะทิ และเกลือ นำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง
                  กวนจนส่วนผสมเหนียวข้นพอปั้นได้ จึงปิดไฟ พักไว้ให้เย็น แล้วนำมาปั้นเป็นก้อนกลมเล็กๆ วางพักไว้ในถาดแบน
              2.   นำกะทิ ผสมกับน้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน จากนั้นจึงนำไปตั้งบนไฟอ่อน กวนจนแป้งสุกใส
                  จึงปิดไฟ (ถ้าต้องการให้ตัวแป้งมีสี สามารถใส่สีผสมเข้าไปได้ในขั้นตอนการกวน)
              3.   เตรียมใบตองโดยตัดเป็นวงกลมให้ได้ตามขนาดกระทงที่ต้องการ จากนั้นจึงใส่ตัวไส้ลงไปในกระทง
                 และตามด้วยตัวแป้ง (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 2) ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาเสริฟรับประทานได้เลย 
                 (กรณีไม่มี กระทง สามารถนำใบตองห่อเป็นรูปสามเหลี่ยม ได้เช่นกัน)
 
 
 
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.ezythaicooking.com
ขอบคุณภาพประกอบ : ได้จาก http://www.dailynews.co.th และ Internet
 
================================  🎷🎸🎶🎸😲 ==============================
 


วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

สูตรและวิธีการทำขนมเทียน

สูตรขนมเทียน (อร่อยๆ)


ส่วนผสม

1.       แป้งข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
       2.       น้ำตาลโตนด 2 ถ้วยตวง (สำหรับทำตัวแป้ง)
       3.       น้ำตาลโตนด 1 1/2 ถ้วยตวง (สำหรับทำไส้)
       4.       ถั่วเขียวกะเทาะเปลือกนึ่ง 2 ถ้วยตวง
       5.       น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
       6.       พริกไทย 1 ช้อนชา
       7.       น้ำมัน 3 ช้อนโต๊ะ
       8.       มะพร้าวขูด 2 ถ้วยตวง
       9.       เกลือป่น 1 1/2 ช้อนชา

ขั้นตอนการทำ

      1.       เริ่มจากทำตัวแป้งก่อนโดย นำน้ำตาลโตนดไปเคี่ยวจนเหนียวแล้วจึงนำไปนวดกับแป้งข้าวเหนียวจนเข้ากันดี
      2.       เตรียมไส้
            2.1.     ไส้หวาน โดยนำน้ำตาลโตนดเคี่ยวกับมะพร้าวจนแห้งจึงปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆ
            2.2.     ไส้เค็ม ให้นำน้ำมันใส่กระทะไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง จากนั้นใส่ถั่วนึ่ง, พริกไทย, เกลือและน้ำตาลทราย ผัดจนหอมและส่วนผสมเข้ากันทั่วจึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น
     3.       ห่อขนมโดยตัดใบตองเป็นแผ่นๆ เช็ดให้สะอาดและทาด้วยน้ำมันนิดหน่อย ตักแป้งใส่แล้วห่อไส้เค็มหรือไส้หวานตามชอบ จากนั้นนำแป้งอีก ก้อนวางลงบนไส้ ห่อให้เป็นรูปสามเหลี่ยม นำไปนึ่งประมาณ 30 นาทีจนสุกดี


==================💕💕💕😚😙========================


ภาพจาก ร้านแม่แมว และ  Internet

==================💕💕💕😚😙========================
 

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2560

สูตรชูโรส Churros (ปาท่องโก๋สเปน )

 
ส่วนผสม
   - แป้งสาลีเอนกประสงค์  1  ถ้วย
   - เนยสดจืด  50  กรัม
   - เกลือ            1/4    ชช.
   - น้ำตาลทราย   1     ชต.
   - น้ำมันพืช        1    ชต.
   - วานิลลา          1    ชช.
   - ไข่ไก่4ฟอง (เบอร์ 2 )
   - น้ำเปล่า           1    ถ้วย
วิธีทำ
1.ใส่น้ำ เนย เกลือ น้ำตาล น้ำมัน ลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด พอเดือดลดไฟอ่อนใส่แป้งคนให้เข้ากัน คนต่ออีก1นาที จนแป้งร่อนออกจากหม้อ แล้วปิดไฟ
2. เทแป้งลงอ่างผสมคนให้แป้งคลายความร้อน ใส่วานิลลาคนให้เข้ากัน พอแป้งอุ่นๆใส่ไข่ทีละฟอง คนไปเรื่อยๆให้เข้ากัน 
3.พอแป้งเข้ากันแล้ว ตักใส่ถุงบีบ ใช้ตัวบีบแฉก
4.กระทะใส่น้ำมันเกือบครึ่ง ตั้งให้ร้อนแล้วบีบแป้งลงทอดไฟกลางอ่อน ใช้กรรไกรตัด ใช้ตะเกียบจัดปาท่องโก๋ให้ตรงสวยงาม ทอดจนเหลืองทองทั้ง2ด้าน วางบนกระดาษซับน้ำมัน 
5.จากนั้นนำไปคลุกกับน้ำตาลผสมผงซินนาม่อนหรือไม่ผสมก็ได้ หรือไม่คลุกก็ทานคู่กับช็อคโกแลตร้อนๆ โดยการนำนมไปต้มให้เดือด ปิดไฟ ใส่ดาร์คช็อคโดแลตหรือช็อคโกแลตนมลงไปคนให้ละลาย ถ้าช็อคโกแลตไม่ข้นใส่แป้งข้าวโพดได้นิดหน่อย แต่ถ้าข้นเกินไปเติมนมได้
 

เคล็ดลับชูโรส Churros (ปาท่องโก๋สเปน)   

     ขั้นตอนการผสมไข่ไก่และแป้งเข้าด้วยกัน ต้องค่อยๆเทไข่ลงไปผสมทีละน้อยเพื่อให้ได้เนื้อแป้งที่ไม่เหลวเกินไป หากแป้งยังแข็งเกินไปก็ให้ค่อยเทไข่ไก่ลงไปเพิ่ม แต่ถ้าแป้งเหลวเกินไปเราจะไม่สามารถแก้ไขได้ 
ทดสอบได้โดยลองเอาเนื้อแป้งที่ผสมแตะที่หลังมือ แป้งต้องติดหลังมือไม่เหลวจะหยดลงมา
     ขั้นตอนการทอด ต้องใช้ไฟอ่อนๆอย่าให้น้ำมันร้อนมากเพราะจะทำให้ ชูโรส พองออกไม่ได้รูป ค่อยๆทอดไปจนสีออกเหลืองทอง


😙 #ว่างๆลองทำกันดูนะค่ะ # 😙

--------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณ
  ข้อมูล:จากweb http://www.startclip.com/news4607.html และ จาก Google


 

ความรู้เกี่ยวกับผงฟู และ เบกกิ้งโซดา


          ผงฟู คือ สารเคมีแห้งที่ช่วยทำให้ขนมขึ้นฟู นิยมนำมาใช้ในการอบขนมและดับกลิ่น โดยผงฟูจะมีอยู่หลากหลายชนิดด้วยกัน แต่โดยหลัก ๆ แล้วจะใช้กันอยู่แค่ 2 ชนิด ได้แก่

           ·  เบกกิ้งโซดา หรือ เบคกิ้งโซดา (Baking Soda) มีชื่อทางเคมีว่า “โซเดียมไบคาร์บอเนต” (Sodium bicarbonate) ชนิดนี้จะสลายตัวได้เมื่อได้รับความร้อน
อย่างไรก็ตาม เบคกิ้งโซดาจะมีจุดเสียตรงที่ว่า ถ้าใช้มากเกินไป จะทำให้ขนมมีรสเฝื่อน แต่ก็จะมีการแก้ไขได้โดยการผสมกรดลงไปในสูตรขนม เช่น โยเกิร์ต หรือ นมเปรี้ยว ผงฟู มักจะใช้ในการทำขนมเป็นส่วนใหญ่ เพราะผงฟูจะช่วนให้ขนมขึ้นฟู แต่ในอัตราที่พอควร ไม่มากเท่าโซดา      
          ·  ผงฟู (Baking Powder) ชนิดนี้จะประกอบไปด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) + สารที่มีฤทธิ์เป็นกรด (เช่น ครีมทาร์ทาร์ (Cream of tartar) ซึ่งเป็นผลึกผงสีขาวที่ทำมาจากรดในผลองุ่น) + โซเดียมแอซิดไพโรฟอสเฟต (Sodium acid pyrophosphate) หรือสารเจือปนในอาหารที่ให้ความเป็นกรด + แป้งข้าวโพด (Corn Starch) ทั้งนี้ก็เพื่อคงความเป็นกลางไว้ไม่ให้มันทำปฏิกิริยากัน (ป้องกันไม่ให้สารทั้งสองสัมผัสกันโดยตรง) นั่นคือ เมื่อเอาผงฟูใส่น้ำก็จะเกิดฟองก๊าซ (เพราะมีกรดที่พร้อมทำปฏิกิริยาอยู่แล้ว) ผงฟูชนิดที่โดนน้ำแล้วจะเกิดปฏิกิริยาทันที (ชนิดนี้เรียกว่า “ผงฟูกำลังหนึ่ง” หรือ Single-acting) ส่วนอีกแบบนั้นนอกจากจะเกิดปฏิกิริยาตอนผสมกับน้ำหรือของเหลวแล้ว เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น (เข้าเตาอบ) ก็จะเกิดปฏิกิริยาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง (ชนิดนี้เรียกว่า “ผงฟูกำลังสอง” หรือ Double-acting)
              ทั้ง ผงฟู และเบคกิ้งโซดา ล้วนแต่เป็นสารที่ช่วยให้ขนมขึ้นฟู แต่ส่วนมากจะใช้ในโอกาสแตกต่างกัน เบคกิ้งโซดา มักจะใช้ในขนมที่มี โกโก้ หรือ กาแฟ เป็นส่วนผสม เพราะว่าโกโก้ และ กาแฟ มีค่าเป็นกรด ซึ่งเบคกิ้งโซดาก็มีค่าเป็นด่าง จึงทำให้เข้ากันได้ดี ส่วนเรื่องการใช้แทนกัน ผงฟูใช้แทน เบคกิ้งโซดา ได้ แต่ เบคกิ้งโซดา ใช้แทน ผงฟูไม่ได้
สรุป เบกกิ้งโซดา = Baking Soda ส่วนผงฟู = Baking Soda + Cream of Tartar + Corn Starch

 

ชนิดของเนยที่ใช้ทำเบเกอรี่

ชนิดของเนย


   เนย เป็นส่วนผสมสำคัญที่ทำให้เบเกอรี่มีความอ่อนุ่มชุ่มชื่น กลิ่นหอม เพราะมีไขมันเป็นตัวช่วยให้เกิด กลิ่น รส ความนุ่ม และยืดอายุการเก็บให้นานขึ้น ซึ่งเนยที่มักใช้ในการทำเบเกอรี่กันบ่อยๆนั้น แบ่งเป็นหลักๆได้ 3 ประเภท ดังนี้
  1. เนยสด (Butter) เป็นไขมันที่ได้จากการสกัดน้ำนมสัตว์ ส่วนใหญ่จะใช้นมวัว  แล้วนำไปผ่านกระบวนการทำให้แข็งตัวเป็นก้อน มีไขมันประมาณ 80% มีสีเหลืองเข้มจนถึงสีเหลืองอ่อน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์วัว  ซึ่งเนยประเภทนี้ จะต้องเก็บไว้ในตู้แช่หรือตู้เย็น มิฉะนั้นเนยจะเหลวหรือละลาย เนยสดมักจะทำเป็นก้อนสี่เหลี่ยม มีหลายขนาดแต่ขนาดมาตรฐานหนักก้อนละ 227 กรัม  หรือเท่ากับ 1 ถ้วยตวง  เนยคุณภาพดีต้องมีปริมาณไขมัน 85% ขึ้นไป และมีราคาค่อนข้างสูง เนยสดแยกออกเป็นสองชนิดคือ เนยสดชนิดจืด (Unsalted butter) และเนยสดชนิดเค็ม (Salted butter) ซึ่งเนยสดชนิดจืดจะมีกลิ่นหอม และออกรสหวานกว่าเนยสดชนิดเค็มเล็กน้อย เบเกอรี่ส่วนใหญ่นิยมใช้เนยสดชนิดจืดเป็นส่วนผสมมากกว่าชนิดเค็ม เนยสดชนิดเค็ม มักนิยมใช้ทำเค้กเนยสด บิสกิต และคุกกี้บางชนิด
                เนยสดมี 2 ชนิด คือ
                     - ชนิดจืด (Unsalted butter) จะมีกลิ่นหอม และหวานนิด ๆ
 
                     - ชนิดเค็ม (Salted butter)
 
 2. มาการีน(Magarine)หรือเรียกอีกอย่างว่า "เนยเทียม"  มีสีเหลืองเข้มกว่าเนย กลิ่นหอม ทำจากไขมันจากพืช เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น มีส่วนประกอบของไขมันประมาณ 80-85% จึงมีจุดแข็งตัวที่อุณหภูมิห้อง  นำมาปรุงแต่งสี กลิ่นและรสให้คล้ายกับเนยสด สามารถใช้แทนเนยสดได้ ซึ่งหลายๆคนมักนิยมใช้มาการีนแทนเนยสด เพราะราคาที่ถูกกว่าและเก็บรักษาได้ง่ายกว่า โดยมาการีนสามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องโดยไม่ละลายได้ แต่ความหอม อร่อยจะน้อยกว่าเนยสด บางครั้งนิยมใช้มาการีนผสมกับเนยสดเพื่อทำเค้ก คุกกี้ เพราะมาการีนสามารถตีให้ขึ้นฟูได้ดีกว่าเนยสด  หากนำมาทำเค้กเนื้อเค้กจะนุ่มอร่อยกว่าใช้เนยสดล้วน ๆ   เนื่องจากมาร์การีนมีสารอิมัลซิไฟเออร์ซึ่งทำให้น้ำและไขมันเข้ากันได้ดี  ทำให้โมเลกุลของน้ำอยู่ในเนื้อเค้กได้นานขึ้น  เกรดของมาการีนแต่ละยี่ห้อนั้นขึ้นอยู่กับน้ำมันพืชแต่ละชนิดที่นำมาทำ ถ้ามาการีนเกรดต่ำสุดจะทำมาจากน้ำมันปาล์มซึ่งจะไม่ค่อยหอมเท่าไหร่
       มาการีนหรือเนยเทียมที่ใช้ในการทำเบเกอรี่ที่มักพบเห็นได้ในบ้านเรา แบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้
                - มาการีนสำหรับทำเค้ก คุกกี้ หรือเอแคลร์ มีคุณสมบัติในการตีขึ้นฟูได้ดีได้เนื้อขนมมาก และฟูเบา
                - มาการีนสำหรับทำพายชั้น เดนิช เพสตรี Denish Pastry margarine และครัวซองค์ เป็นมาการีนที่มีจุดหลอมเหลวสูง มีคุณสมบัติที่เรียกว่า พลาสติซิตี้ คือ มีความเหนียวรีดคลึงได้ง่าย และทำให้ชั้นของแป้งสูงขึ้น
               - มาร์การีนชนิดอ่อน (Table margarine)  มีความอ่อนตัวสามารถตักทาบนขนมปังได้ มีกลิ่นและสีคล้ายเนยสด และสามารถละลายได้ง่ายในปาก
   3. เนยขาว (Vegetable Shortening)
 


               เนยขาวมีลักษณะเป็นครีมสีขาว ทำจากน้ำมันพืชบริสุทธิ์ ไม่มีกลิ่น เช่น น้ำมันปาล์ม , น้ำมันข้าวโพด,น้ำมันมะพร้าว เป็นต้น โดยนำมาผ่านขบวนการเติมไฮโครเจน ทำให้ไขมันแข็งตัวยิ่งขึ้น และไม่ได้มีการเติมกลิ่น  สี ใด ๆ  เนยขาวจึงเป็นไขมันล้วน ๆ 100% มีขายทั้งแบบกระป๋องหรือแบ่งขายเป็นกิโลกรัม เนยขาว ไม่มีกลิ่นและรส เป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง มีความคงตัวดี ตีแล้วขึ้นฟูไม่เหลว  มักใช้ในการทำขนมปังโรล และผลิตภัณฑ์ยีสต์ ใช้ทาถาดพิมพ์สำหรับอบ เพื่อไม่ให้ขนมติดพิมพ์เมื่ออบสุก หรือใช้ผสมกับเนยสดเพื่อตีเป็นครีมแต่งหน้าเค้ก 
                     เนยขาวที่ใช้สำหรับทำเบเกอรี่ แบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้
                     - ชอร์ตเทนนิ่งสำหรับทำครีม มีคุณสมบัติเด่นในการตีให้ขึ้นฟูได้เร็ว ได้ครีมที่ฟูเบา มีสีขาว ไม่มีกลิ่นและรส มักใช้ทำบัตเตอร์ครีมแต่งหน้าเค้ก หรือคัพเค้ก
                   - ชอร์ตเทนนิ่งสำหรับทำขนมปัง บิสกิต มีคุณสมบัติในการผสมเข้ากับก้อนแป้งได้ง่าย ไม่มีกลิ่นและรสชาติแปลกปลอม
                   - ชอร์ตเทนนิ่งสำหรับทอดแบบน้ำมันท่วม มักใช้ทอดพวก โดนัท หรือขนมทอดต่างๆ เนื่องจากเนยขาวแบบนี้จะมีจุดเกิดควันสูง เมื่อนำไปทอดเนยขาวจะไหม้ช้ากว่าน้ำมันพืช จึงมีอายุในการใช้งานยาวนานกว่าน้ำมันพืชทั่วไป (ใช้ได้หลายครั้งโดยน้ำมันไม่ดำ) และชอร์ตเทนนิ่งมีคุณสมบัติเด่นคือ เป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง เมื่อทอดขนมแล้วทิ้งให้เย็น เนยขาวจะเคลือบผิวของขนมทำให้ขนมมีลักษณะไม่อม ไม่เยิ้มน้ำมัน
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิง
           ข้อมูลจาก page foodietaste
           ข้อมูลและภาพจาก Internet ที่เป็นเจ้าของ